สำหรับใครที่โหยหาเกมสุดท้าทายที่การตายทุกครั้งจะต้องทำให้คุณกุมขมับ ก็อีกไม่นานเกินรอสำหรับ Sekiro: Shadow Die Twice จาก FromSoftware ผู้สร้างเกมซีรีส์ดังอย่าง Dark Souls และ Bloodborne ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมสุดหิน จนหลายๆ เกมที่ทำออกมายากๆ มักจะโดนแซวว่าเป็นสไตล์ Dark Souls เสมอๆ ซึ่งในวันนี้ทางผมจะมารีวิวถึงตัวเกม Sekiro: Shadow Die Twice ที่เป็นไตเติ้ลใหม่ของค่ายนี้ โดยจะเป็นการรีวิวจากรอบสื่อซึ่งทีมงาน OS ได้รับเชิญจากบริษัท Sony Interactive Entertainment สาขาประเทศสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมงาน Media Preview Event ของเกม Days Gone และ Sekiro: Shadows Die Twice ซึ่งทางผมจะมารีวิวความรู้สึกของเกม Sekiro และความแตกต่างจากเกมซีรีส์เก่าอย่าง Dark Souls และ Bloodborne ให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพกันนะครับ
มิติของเกม Sekiro ที่แตกต่างกว่าเกมก่อนๆ ในค่าย
ใน Sekiro: Shadow Die Twice นั้นฉากค่อนข้างมีมิติมากกว่าเดิมหลายเท่า ต่างจากเกมซ๊รีส์ Dark Souls ด้วยรูปแบบการเล่นที่เพิ่มการกระโดดและการใช้สลิงดึงตัวเองไปจุดต่างๆ คล้ายกับเกม Tenchu ทำให้ฉากของเกมมีความลึกลับซับซ้อน และน่าค้นหามากกว่าเดิมอีกหลายเท่า อย่างเช่นบางฉากมีต้นไม้เยอะ เราก็สามารถสลิงขึ้นไปบนนั้นเพื่อหลบเลี่ยงศัตรูได้ นอกจากนี้ยังมีทางลับที่เราสามารถย่อตัวเพื่อแอบเข้าไปบางจุดได้ ทำให้การไปยังจุดๆ นึงในเกม Sekiro นั้น มีหลายเส้นทางให้เราเลือกมากกว่าเดิม อีกทั้งตัวเกมยังมีระบบดักฟัง ซึ่งบางทีเราจะได้รู้ข้อมูลเส้นทางลับต่างๆ ที่อาจจะมองไม่เห็น หรือศัตรูที่เราอาจจะเจอในอนาคตรวมไปถึงจุดอ่อนของมัน และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าเปลี่ยนรูปแบบการเล่นจากซีรีส์ Dark Souls ไปมากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีการความเสียหายที่ตกจากที่สูงอยู่ด้วยคล้ายกับ Dark Souls เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่า ยกเว้นการตกเหวที่ภายในเกม Sekiro เราจะไม่ตายทันที แต่จะเสียพลังชีวิตค่อนข้างมากและวาร์ปกลับมาตรงจุดก่อนตกแทน
รูปแบบการต่อสู้ที่สนุกขึ้นไปอีกขั้น
หากใครเล่น Dark Souls กับ Bloodborne มา จะเห็นว่าสไตล์ของเกมนี้จะไม่ต่างกันมากในเรื่องของการต่อสู้ คือเน้นฟันหลบฟันหลบเป็นหลักและการ Parry ที่สามารถสวนโจมตีศัตรูได้อย่างรุนแรง แต่สำหรับ Sekiro: Shadow Die Twice นั้นเรียกได้ว่าอัพเกรดระบบการต่อสู้ให้สนุกขึ้นไปอีก ด้วยลูกเล่นต่างๆ มากมาย มีอะไรบ้างมาดูกันเลย
การหลบที่ไม่ได้มีแค่กลิ้ง – ใน Sekiro การหลบจะมีสองแบบนั่นก็คือการฉากหลบ (แบบเดียวกับ Bloodborne เวลาล็อคเป้าศัตรู) และการกระโดดหลบ โดยการฉากหลบนั้นจะใช้ปุ่ม O ซึ่งจะยังมี iFrame อยู่บ้าง (จังหวะที่เป็นอมตะจากการโจมตี) ส่วนการกระโดดจะใช้ปุ่ม X ซึ่งก็สามารถใช้หลบท่าการโจมตีได้เช่นกัน แถมการกระโดดยังทำให้เราทิ้งห่างจากศัตรูไกลกว่าแต่ก็จะไม่มี iFrame แบบการฉากหลบ ถึงอย่างนั้นระหว่างกระโดดเราก็สามารถบล็อกการโจมตีได้ด้วย
การสู้ด้วยระบบ Posture – ในเกมซีรีส์เก่าอย่าง Dark Souls และ Bloodborne การจัดการกับศัตรูก็คือการฟันให้ตายไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตาม แต่ในเกม Sekiro นั้นนอกจากการฟันศัตรูให้ตายแบบปกติแล้ว จะมีค่า Posture ที่หากเราทำให้หลอดนี้ของศัตรูหมด จะเปิดช่องให้เราใช้ท่า Deathblow ที่สามารถแทงศัตรูได้ในครั้งเดียว (สำหรับตัวบอสจะต้องโดนแทงมากกว่าตัวทั่วไปถึงจะตาย) แต่ก็ไม่ใช่แค่ศัตรูที่มีค่า Posture เพียงอย่างเดียว เพราะตัวเราก็มีเช่นกัน
การ Deflect ที่เพิ่มความมันให้เกม – สำหรับการบล็อกในเกม Sekiro นั้น หากเรากดตรงจังหวะที่ศัตรูโจมตีมาพอดี จะเป็นการปัดดาบศัตรู (Deflect) โดยวิธีนี้จะเป็นการลดค่า Posture ของศัตรูได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากการลองทดสอบมา Deflect ถือว่าทำไมยากจนเกินไป และไม่ลงโทษผู้เล่นหนักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Parry ในเกม Dark Souls (เพราะการ Deflect เป็นปุ่มป้องกันหากเรากดไม่ตรงก็จะแค่เป็นการบล็อกแทน แต่เราจะเสียค่า Posture) แต่จุดที่แตกต่างคือการ Deflect นั้นไม่ได้เปิดช่องให้เราโจมตีศัตรูเท่ากับการ Parry ในเกมซีรีส์เก่าของค่าย และศัตรูบางตัวสามารถโจมตีเราได้ทันทีหลังจากเรา Deflect เช่นกัน
การ Parry ท่าที่บล็อกไม่ได้ – ในเกม Sekiro: Shadow Die Twice ก็ยังมีระบบ Parry เช่นกัน แต่จะแตกต่างจากเกมซีรีส์ Dark Souls โดยจะ Parry ได้เฉพาะท่าที่ขึ้นสัญลักษณ์สีแดงเป็นตัวอักษรญี่ปุ่นขึ้นมา โดยท่านี้จะทะลุการบล็อกปกติของเรา จึงทำได้เพียงแค่การหลบเท่านั้น แต่หากเราพุ่งเข้าใส่ศัตรูในจังหวะที่จะโจมตีท่านี้มา ซึ่งจะเป็นการ Parry คล้ายกับการ Deflect เช่นกัน และจากการทดสอบบางท่าก็สามารถ Parry ได้ และบางท่าก็ไม่สามารถทำได้ (หรือยังไม่เจอจังหวะ Parry ที่ถูกต้องก็ไม่ทราบแน่ชัด) ซึ่งความสนุกก็คือผู้เล่นต้องค้นหาทางแก้ของท่าเหล่านั้นไปด้วย
ศัตรูที่ต้องค้นหาจุดอ่อน – ในซีรีส์ Dark Souls กับ Bloodborne ศัตรูส่วนมากเรามักจะจัดการด้วยการฟันๆ หลบๆ กันๆ ไปเรื่อยๆ แต่ใน Sekiro ศัตรูบางตัวก็จะมีวิธีแก้เฉพาะทาง ยกตัวอย่างเช่น ศัตรูที่เร็วมากและตั้งรับการโจมตีเราได้เกือบทุกครั้ง แต่ในจังหวะที่มันกระโดดเราสามารถปาดาวกระจายทำให้มันหล่นและเสียจังหวะได้ ศัตรูบางชนิดก็อาจจะแพ้ไฟมากกว่าปกติ และอีกหลายๆ ลูกเล่น ที่หากเราค้นพบก็จะทำให้การสู้กับศัตรูชนิดนั้นๆ ได้ดีขึ้น
เรียนรู้ท่าโจมตีใหม่ๆ – ท่าทางการโจมตีจากซีรีส์เก่าอย่าง Dark Souls และ Bloodborne จะเน้นเปลี่ยนไปตามอาวุธที่เราถือ แต่สำหรับ Sekiro นั้น อาวุธเมนหลักจะเป็น Katana ซึ่งเมื่อเกมดำเนินไปเราสามารถเรียนรู้ท่าโจมตีพิเศษแบบอื่นๆ ได้ ทำให้มีความหลากหลายในการต่อสู้มากกว่าเดิม
แขนกลที่มีลูกเล่นมากมาย – เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของเกมนี้ตั้งแต่แรก กับแขนกลของตัวละครเราที่ทำให้การเล่นมีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น โดยช่วงทดสอบนั้นตัวผมได้ลอง แขนกลดาวกระจาย, แขนกลพ่นไฟ และ แขนกลขวาน ซึ่งมีประโยชน์กันในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป และนั่นก็ทำให้รูปแบบการเล่นของ Sekiro หลากหลายมากกว่าเดิม
ระบบ Stealth ที่ทำให้เกมสนุกมากยิ่งขึ้น – หากใครตามข่าวเราคงทราบกับว่า FromSoftware ได้นำเกมนินจาชื่อดังสมัยก่อนอย่าง Tenchu มาเป็นส่วนผสมในการสร้าง Sekiro เช่นกัน ดังนั้นทำให้ตัวเกมมีการลอบสังหารแบบ Stealth ด้วย และนี่ก็ทำให้การจัดการศัตรูสนุกขึ้นไปอีกระดับแถมชวนให้ผู้เล่นค้นหาทางเลือกใหม่ๆ ในการบุกโจมตีเสมอ แต่ถ้าใครกังวลว่าระบบนี้จะทำให้เกมง่ายขึ้นไหม ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเราไม่สามารถ Stealth ทั้งเกมได้แน่นอน และในหลายๆ ช่วงของเกม ศัตรูก็มักจะเกาะกลุ่มกันทำให้มักจะลอบสังหารได้แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
กลิ่นอาย Dark Souls ที่ยังไม่หายไป
แม้ในเกม Sekiro: Shadows Die Twice จะมีตัวละครหลักซึ่งต่างจากเกม Dark Souls และ Bloodborne ที่เราสร้างตัวละครขึ้นมาเอง แต่ขั้นตอนการเล่าเรื่องยังคงสไตล์ความเป็น Dark Souls อยู่ และในเกมนี้ตัวละครเราก็จะพูดโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ ในเกมด้วย! (เลิกกลายเป็นคนใบ้สักทีนะ) รวมไปลูกเล่นการเก็บไอเท็มภายในฉากยังมีแอบซ่อนอยู่ตามมุมที่เราคาดไม่ถึง รวมไปถึงศัตรูที่ชอบมาเซอร์ไพรส์เราให้ตายได้ง่ายๆ ซึ่งใครที่เล่นเกมของค่ายนี้มาคงชินชากับความโหดร้ายเหล่านี้เป็นอย่างดี
เลิกวิ่งไล่เก็บ Soul เวลาตาย
สิ่งหนึ่งที่ผู้เล่น Dark Souls และ Bloodborne ต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ การไปเก็บ Soul ของเราหลังจากที่เราตาย ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่ชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก โดยใน Sekiro นั้นจะตัดระบบนี้ออกไปเป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการตายภายในเกมจะไม่มีผลเสียกับเรา เพราะเมื่อเวลาเราตายจะเสียเงินและค่าประสบการณ์ แถมถ้าตายเยอะๆ เราสามารถติดโรคร้ายที่ชื่อ “ไอมังกร” ซึ่งส่งผลกับตัวละครรอบตัวเรา และนั่นทำให้ความตายภายในเกม Sekiro น่ากลัวกว่าเกมซีรีส์เก่าๆ เสียอีก
เนื้อเรื่องที่ชวนติดตามในธีมญี่ปุ่น
ในเกม Sekiro: Shadows Die Twice นั้นจะมีจุดขายนั่นก็คือการชุบชีวิตตัวเองจากความตายได้หนึ่งครั้ง ซึ่งในช่วงเริ่มของเกมหากเราตายก็จะมีคัทซีนเนื้อเรื่องอธิบายแบบคร่าวๆ ว่าทำไมเราถึงยังไม่ตายและใครคือสาเหตุให้เราสามารถฟื้นชีวิตกลับมาได้ ซึ่งตัวเกมน่าจะอธิบายเรื่องราวตรงจุดนี้มากขึ้นในภายหลัง (แม้จะชุบชีวิตตัวเองได้ครั้งนึง แต่บอกเลยว่าไม่ได้ช่วยให้เกมง่ายขึ้นแม้แต่น้อย) และนอกจากเนื้อเรื่องแล้วบรรยากาศของเกมก็ทำได้สวยงาม ยิ่งใครชอบสไตล์ญี่ปุ่นในช่วงยุคเซ็นโกคุเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว Sekiro ก็เป็นอีกเกมที่ทำออกมาได้ดูมากเลยทีเดียว
ภาษาไทยที่ทำออกมาได้ดี
ออกตัวก่อนเลยว่าผู้เขียนเป็นคนที่ไม่ค่อยแคร์กับภาษาไทยในเกมสักเท่าไหร่…….. แต่เมื่อได้ลองสัมผัสเกม Sekiro ในภาษาไทยดูแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่า แปลออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว และการใช้ภาษาก็เข้ากับบรรยากาศของเกมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนา เมนูต่างๆ ภายในเกมและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้คนที่ไม่แข็งภาษาอังกฤษ สามารถเล่นเกม Sekiro และเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมได้อย่างถ่องแท้ขึ้นมากแน่นอน
ส่วนตัวเป็นคนที่เคยเล่นเกม Tenchu มาก่อน และก็ชอบเล่นซีรีส์ Dark Souls ด้วยเช่นเดียวกัน และจากการได้ทดลองเล่น Sekiro: Shadows Die Twice ในรอบสื่อครั้งนี้ ตัวผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าหากใครที่คาดหวังความสนุกและความท้าทายสไตล์ Dark Souls เกม Sekiro: Shadows Die Twice นี้ก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังจริงๆ โดยตัวเกมจะออกมาให้เล่นในวันที่ 22 มีนาคม 2019 ที่จะถึงนี้นะครับ