เด็กนักเรียนไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็มักจะมีการแอบนำของเล่นหรือเกมต่างๆ แอบไปเล่นในห้องเรียนเสมอไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ ในโลกก็ตาม หากเป็นยุคสมัยก่อนก็จะเป็น Gameboy หรือพวกการ์ดเกมต่างๆ แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มากขึ้นเด็กสมัยใหม่หลายคนก็เล่นเกมบนมือถือแทน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Fortnite ที่เปลี่ยนกระแสสังคมเด็กนักเรียนชาวอเมริกาไปอย่างมากเลยทีเดียว
หลายๆ คน คงรู้ถึงกระแสของเกม Fortnite เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันเราก็มี Fortnite Mobile ที่ยิ่งทำให้เหล่าเด็กนักเรียนทั้งหลาย นำมาเล่นกันที่โรงเรียนได้มากกว่าเดิม จนถึงขั้นที่บางโรงเรียนต้องบล็อคเกม Fortnite ในระบบ Wifi รวมไปถึงห้ามนักเรียนเต้นท่าจาก Fortnite อีกต่างหาก ซึ่งงานนี้ทาง IGN ก็ได้มีการไปพูดคุยกับอาจารย์ในระดับมัธยมถึงปัญหาของเกม Fortnite ในปัจจุบันว่ามีสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง
กระแสของ Fortnite ของนักเรียน
เวลาคุณเจอเกมที่ดีมากๆ มันก็จะอยู่ในหัวของคุณตลอดเวลา เหมือน Tetris Effect ที่ต่อให้คุณไม่ได้เล่นเกมอยู่แต่ในหัวคุณก็เหมือนกำลังเล่นมันตลอด ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างผู้เล่นกับเกมมากกว่าเดิม และนี่ก็เป็นเหมือนเกม Fortnite “เมื่อ Fortnite ได้ลงในมือถือมันก็ยิ่งทำให้เด็กนักเรียนพยายามแอบเล่นมันในห้องมากยิ่งขึ้น” อาจารย์คนหนึ่งได้กล่าวไว้จากรัฐมินิโซต้า “เด็กนักเรียนนั้นติดเกมเป็นอย่างมากจนไม่ตั้งใจฟังในคลาส และไม่สนใจคำแนะนำในการที่จะทำงานให้เสร็จ” และมันยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกเมื่อ “มีเด็กคนนึงที่เกรดแย่มาก และกำลังจะเริ่ม Present งาน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดเล่นได้”
การมาของ Fortnite ในมือถือ ที่ทำให้เด็กนักเรียนในอเมริกาติดกันมากกว่าเดิม
“ในอดีตหากเราเจอนักเรียนแอบเล่นมือถือ เราแค่ไปยืนใกล้ๆ เพื่อขู่หรือแค่พูดว่าเก็บมือถือไปซะ ก็เพียงพอ แต่สำหรับ Fortnite ฉันได้พบเจอกับเด็กนักเรียนที่พยายามจะต่อรองเพื่อจะเล่นเกมนี้ในห้องเรียนมากขึ้น” อาจารย์หญิงจากแคลิฟอร์เนีย ได้กล่าวไว้ “Fortnite ได้ทำให้เด็กนักเรียนหลายๆ คนไม่สนใจที่จะเรียนอย่างมาก” เธอกล่าวพร้อมกลับอธิบายว่าได้เห็นนักเรียนจากเกรด A ลงไปเกรด D เพราะเกม Fortnite
แต่สำหรับอาจารย์บางท่านก็ให้ความเห็นว่า Fortnite ก็ไม่ได้ต่างจากเกมอื่นๆ ที่เคยเป็นกระแสอย่าง Call of Duty และ Minecraft แต่แค่ Fortnite นั้นรักษาระยะเวลาได้นานกว่า แต่ถ้าจะนับเกมที่สร้างปัญหาในสมัยก่อนก็คงไม่พ้น Flappy Bird ที่สามารถเล่นจบได้อย่างรวดเร็ว และทำให้นักเรียนแอบเล่นในห้องได้ง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเกม Flappy Bird ก็เป็นกระแสได้ไม่นาน ต่างกับ Fortnite แถมเกมนี้ก็ได้ทำสิ่งที่แตกต่างมากกว่าเดิม เพราะสมัยก่อนก็อาจจะเป็นแค่กลุ่มเด็กผู้ชายสักกลุ่มพูดถึง Call of Duty ที่เล่นมาเมื่อคืน แต่ปัจจุบันกลายเป็นทั้งห้องเรียนพูดถึง Fortnite (และเต้นมันด้วย)
ในข้อเสียยังมีข้อดี
แม้เกม Fortnite จะดูเหมือนทำให้นักเรียนไม่สนใจเรียนมากขึ้น แต่ในอีกมุมนึงเกมนี้ก็ทำให้เด็กนักเรียนบางคนที่ไม่ค่อยได้คุยกับคนอื่น เริ่มคุยกับผู้คนมากขึ้น “ซึ่งเกม Fortnite ก็เชื่อมความสัมพันธ์ของเด็กได้ดี และทำให้พวกเขาเข้ากันในงานกลุ่มได้ดีกว่าเดิม” อาจารย์อีกท่านนึงก็ได้กล่าวว่า “ฉันเห็นนักเรียนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน พูดคุยกันมากขึ้น แม้พวกเค้าจะเล่นสู้กันแต่ก็ไม่มีใครโมโหที่ถูกฆ่าเลย กลับกันพวกเขายังอยากเล่นกันต่อกับเพื่อนใหม่ในเกมถัดๆ ไปอีกด้วย”
เด็กนักเรียนได้ใช้ Fortnite มาเป็นตัวช่วยในการ Present งาน
Fortnite และเกมแนว Battle Royale อื่นๆ มีความแตกต่างจากเกมทั่วๆ ไป เพราะรูปแบบเกมที่คนชนะมีเพียงหยิบมือ ทำให้เด็กที่เล่นแม้จะตายไม่ได้แชมป์แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับมันมาก รวมไปถึงเกมนี้ไม่มีระบบ Level ทำให้เด็กๆ ไม่นำเรื่องเหล่านี้มาพูดเสียดสีกัน กลับกันพวกเขาดันเอาท่าเต้นต่างๆ มาเต้นจนมันกลายเป็น meme แทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายนัก
Fortnite นำภาพ Fan Art ของเด็กมาเป็นสกินในเกม ยิ่งทำให้ครองใจเด็กๆ มากยิ่งขึ้น
“แม้เกม Fortnite จะทำให้เด็กเสียสมาธิในการเรียน แต่สำหรับเด็กบางคนที่เข้ากับคนอื่นได้ไม่ดี เกมนี้ถือว่าเป็นตัวช่วยให้พวกเขาเข้าถึงคนอื่นได้ง่ายขึ้น” อาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ รวมไปถึงประเด็นของเด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น แต่ก็กลายเป็นมาเล่น Fortnite และกลายเป็นเพื่อนกับเด็กที่เคยแกล้งไปซะอย่างนั้น
เกม Fortnite สำหรับอาจารย์บางท่านอาจจะมองไม่ดี แต่ก็มีอีกมุมนึงที่เกมนี้กลายเป็นเครื่องเชื่อมโยงระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้เช่นกัน ซึ่งก็อยู่ที่อาจารย์จะแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ Fortnite ก็ได้ชนะใจเหล่าเด็กๆ ในศึกครองใจเด็กนักเรียนที่ไม่เคยมีสื่อไหนทำได้ขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
Source : IGN