รีวิว: Kuroko no Basket: Last Game – เกมสุดท้ายที่แม้จะไม่ถึงกับอิ่ม แต่ก็อยู่ท้องพอสมควร

     แหวกกระแสหนังฟอร์มยักษ์กลางปล้องกันเลยทีเดียวครับสำหรับ Kuroko no Basket: Last Game ภาพยนตร์แอนิเมะภาคหนังโรงของซีรีส์การ์ตูนฮิตจากโชเน็นจัมป์ที่แม้จะจบไปนานแล้ว แต่แฟนๆ ก็ยังคงพูดถึงกันมิเสื่อมคลาย ดังนั้นจึงไม่ต้องตกใจที่จู่ๆ เราจะได้เห็นการรียูเนี่ยนกันของเจนเนอร์เรชั่นปาฏิหารย์ แม้กระนั้นการกลับมาครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะมาเล่นๆ แต่มันคือบทสรุปที่แท้จริงของทั้งตัวมังงะและทีวีซีรีส์ซึ่งแฟนๆ Kuroko ควรได้รับชมอย่างยิ่ง เพราะในแง่ความบันเทิงต้องบอกว่าตอบโจทย์ได้ดีระดับหนึ่งเลยครับ 

     Kuroko no Basket: Last Game จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจากตอนจบของมังงะหลังงานแข่ง Winter’s Cup ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีการแข่งขัน Street Basketball โดยที่มีทีม jabberwock เป็นตัวชูโรง แข่งกับทีมรวมดาว(รอง) ของญี่ปุ่นอย่าง Strky ซึ่งพอฝ่ายหลังแพ้ยับก็โดนถากถางถ่มถุยแทบแทรกแผ่นดิน เมื่อเป็นเช่นนั้นเจนเนอร์เรชั่นปาฏิหารย์จึงต้องรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อกู้หน้าให้กับญี่ปุ่นครับ

     และนั่นคือเนื้อเรื่องทั้งหมดของหนังก่อนดึงเข้าสู่การแข่งขัน 1 แมทช์ถ้วน แบบว่าจบแมทช์คือหนังจบเลย ผมเดาว่าพวกคุณๆ แม้ไม่ต้องดูก็อาจจะพอเดาๆ ตอนจบออกได้ (นายติดตี๊ ‘ฟอลลิ่ง ดาวน์’ วาตะนาเบ้ 1 ในทีมคอนเท้นท์เราที่ไปดูด้วยกัน เดาถูกยันสกอร์) ดังนั้นแล้วความสนุกและแก่นจริงๆ ของเรื่องจึงเป็นรายละเอียดระหว่างแข่งมากกว่าว่าใครจะมีโมเม้นท์กับใคร, จะมีช็อตชวนจิ้นไหม, ใครจะโผล่มาบ้าง หรือมุกตลกจะมาตอนไหน จวบจนว่าตาคนนี้จะมี “ท่า” ใหม่ไหม ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันคือเอเลเม้นท์ที่ไม่ต่างกับเวลาเราอ่านหรือดูในเวอร์ชั่นซีรีส์เลยครับ ส่งให้แฟนๆ สามารถคุ้นเคยกับหนังได้ไม่ยาก แต่ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าตัดคนไม่เคยดูหรือเคยอ่านมาก่อนทิ้งไปเลย เรียกว่าไม่มีความอินแน่นอน ขนาดผมอ่านมังงะมาก่อน เจอตัวละครหลายๆ ตัวเข้าไปคราวเดียวยังแอบมึนชื่อไปเหมือนกัน

     สำหรับทีม jabberwock คู่แข่งหลักของพวกคุโรโกะในคราวนี้ในแง่ความสามารถจัดว่าเหนือกว่าเจนเนอร์เรชั่นปาฏิหารย์อยู่มาก แต่น่าเสียดายที่มิติของตัวละครออกจะแบนราบมากถึงมากที่สุด ทั้งนิสัยตัวโกง หน้าตาก็ตัวโกง ไม่แสดงถึงเศษเสี้ยวความดีให้ได้เห็นกันเลย ราวกับตัวหนังพยายามจะบอกกับเราว่าให้เชียร์พวกพระเอกเถอะ ไม่ต้องมาเผื่อใจให้พวกนี้หรอก

     ก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง เพราะความยาวของหนังก็เพียงชั่วโมงครึ่ง หากเพิ่มมิติให้พวก jabberwock ก็อาจมีปัญหาได้ ในส่วนของพวกคุโรโกะจะมีบทหลักๆ อยู่ 7 คน ซึ่งคงพอเดากันได้ว่าใครบ้าง ถ้าใครเป็นแฟนๆ ของ 7 คนนี้ต้องบอกว่าฟินกันแน่นอน เพราะตัวหนังมีการเกลี่ยบทให้ทั้ง 7 คนได้โชว์ของกันถ้วนหน้าในระดับที่ไม่มีใครด้อยกว่าใครครับ จากตอนแรกที่คิดว่าจะเด่นไม่กี่คน สรุปคือเด่นกันเกือบหมดทีม ตรงนี้จัดว่าหนังทำได้ดีครับ (แต่โมโมอิบทหาย…)

     อย่างไรก็ดีปัญหาของเรื่องนี้ที่ทอนความสนุกลงไปอย่างจริงจังก็คือบทแปลซับไตเติ้ล ที่ใช้คำได้ไม่ลื่นเอาซะเลย แถมสรรพนามยังผิดๆ ถูกๆ อย่างการเรียก โมโมอิ ซึ่งเป็นเด็กสาวนักเรียนทรงสะบึมว่า “นาย” ในฉากหนึ่งนี่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้เหมือนกันครับ คุณภาพของซับผมให้ไม่ผ่านเกณฑ์โดยดุษฎี คือไม่ไหวจริงๆ

     แต่ถ้าทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องซับได้ Kuroko no Basket: Last Game ก็ถือเป็นภาคหนังโรงที่แฟนๆ ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากมันจะมาพร้อมคู่แข่งที่แกร่งที่สุดแล้ว บทสรุปของเรื่องก็คือฉากจบที่แท้จริงของซีรีส์ครับ ผมว่าสาวๆ น่าจะมีหลายๆ คนแอบนํ้าตาซึมเป็นฟินกับฉากนี้แน่นอน ต้องไปดูให้ได้นะครับ หากคุณเป็นแฟนตัวยงของนายจืดคนนี้

Kuroko no Basket: Last Game

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้