รีวิว King Arthur: The Legend of the Sword: มหากาพย์อาเธอร์และตำนานดาบพลัง OP กาลใหม่ที่อาจจะยังดูไม่ใช่ แต่ก็แหวกแนวแปลกใหม่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

Review: King Arthur: The Legend of the Sword

“ถ้าอยากให้เขาคิดการใหญ่ ก็หาเรื่องใหญ่ๆ ให้เขาคิดสิเว้ย!”

     ในปัจจุบันที่ภาพยนตร์แนวๆ ซูเปอร์ฮีโร่ครองเมืองทุกหัวระแหงนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อภาพยนตร์ King Arthur ค่อนข้างจะแลดูหลงยุค ขาดไร้ซึ่งความน่าสนใจ และตอกยํ้าด้วยความจริงของยุคสมัยนี้ที่ว่าหนังพีเรียดฟอร์มยักษ์จักรๆ วงษ์ๆ นั้นมักจะเจ๊งแน่นอน ก็ส่งให้ภาพยนตร์ King Arthur: The Legend of the Sword จาก Warner Bros. กลายเป็นว่าที่ยักษ์ล้มประจำซัมเมอร์ไปโดยปริยายตั้งแต่ยังไม่ทันจะเข้าฉาย

     อันที่จริงลางร้ายก็มีมาตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปีก่อน ความกริบระดับได้ยินเสียงกรนของคนข้างบ้านนั้นบอกเตือนตั้งแต่ไก่โห่ว่านี้จะเป็นงานซึ่งส่อแววล้มเหลวในแง่รายรับอบ่างถล่มทลายไม่ต่างกับเอา 175 ล้านเหรียญไปละลายทิ้งแม่นํ้าฮวงโหอย่างไงอย่างงั้น แม้ว่าตัวเทรลเลอร์จะตัดต่อออกมาถูกใจผู้ชมหลายคน รวมถึงได้ผู้กำกับดีกรีเยี่ยมอย่าง กาย ริชชี่ มากุมบังเหียน ตีคู่มากับ จู๊ด ลอว์ ดาราคู่บุญในบทตัวร้ายหลัก และ ช่าลี ฮันนัม พระเอกหนุ่มซึ่งหลายคนคงคุ้นหน้าเขาดีจากภาพยนตร์ Pacific Rim ในบท อาร์เธอร์ ตัวนำของเรื่อง ก็ยังไม่อาจเข็นยักษ์หลับเรื่องนี้ให้มีคุณค่าต่อการตัดสินใจของคนดูหนังได้

     อย่างไรก็ดี ผมเป็นคนหนึ่งที่รอชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นเทรลเลอร์แรก ด้วยว่าเป็นคนที่ชอบหนังพีเรียดหรือหนังแฟนตาซีโบราณเป็นทุนเดิม กอปรกับกระสันจะเห็นเทคนิคการถ่ายทำสไตล์ กาย ริชชี่ ในงานรูปแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน รวมถึงอยากให้รางวัลต่อความกล้าของ Warner ที่ยอมแปรธาตุเงินก้อนโตมาเป็นภาพยนตร์ที่มีโอกาสเจ๊งแน่ๆ 9 ใน 10 เพื่อสนองแก่คนอยากชมงานพีเรียดโปรดักชั่นยักษ์ๆ ซึ่งหาแทบไม่มีแล้วในทศวรรษนี้ ผลสุดท้ายแม้ทุกๆ อย่างจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ไม่มีพลิกโผ ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้น หายนะทางด้านรายรับ ความจริงอันไม่อาจเลี่ยง ผมเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าพอใจกับมัน กระนั้น King Arthur: The Legend of the Sword ก็ยังเป็นหนังที่ควรค่าแก่การรับชมหากคุณเป็นคอหนังแอคชั่นฟันดาบหรือปลาบปลื้มกับความบันเทิงชนิดที่ย่อยง่ายไม่ซับซ้อนมากมายครับ

     King Arthur: The Legend of the Sword เปิดเรื่องได้น่าสนใจด้วยการที่ อูเธอร์ เพนดรากอน ถูกโค่นบัลลังก์ ทำให้ อาเธอร์ พระโอรสในวัยแบเบาะถูกเก็บไปเลี้ยงและโตขึ้นมาในซ่องโสเภนีก่อนจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเขตๆ หนึ่งของเมืองลองดิเนียม จนกระทั่งถึงวันที่เขาต้องดึงดาบเอ็กซคาลิเบอร์ออกจากหิน จากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล… ต้องบอกว่าหนังเริ่มช่วง 20 นาทีแรกได้ค่อนข้างเร้าใจและกระชับอย่างมีสไตล์ ด้วยวิชั่นของ การ ริชชี่ ที่เลือกจะบอกเล่าช่วงชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตของอาเธอร์ ผ่านเทคนิคการกำกับเฉพาะตัว ที่เน้นการซอยซีนภาพยนตร์เป็นฉากสั้นๆ ตัดฉับภาพเร็วๆ แต่มีทิศทางและดูเข้าใจได้ง่าย พลางไหลไปตามเพลงธีมอันเร้าใจอย่าง Growing Up Londinium ซึ่งประพันธ์โดยคุณ Daniel Pemberton ก็ทำให้ซีนเปิดเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตัวภาพยนตร์ไปโดยปริยาย ซึ่งคุณก็จะได้เจอการตัดฉากคล้ายๆ กันนี้อีกรอบในช่วงกลางเรื่องซึ่งก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน นั่นทำให้สำหรับผมแล้ว King Arthur: The Legend of the Sword ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าหนังแย่เลย ถึงแม้ว่ามันจะไม่อาจดีแบบนี้ได้ตลอดรอดฝั่งก็ตามเถอะ

     เพราะทันทีที่อาเธอร์ดึงดาบขึ้นมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปครับ ปัญหาคือผลกระทบไม่ใช่แค่ชีวิตของพี่แก แต่จังหวะจะโคนการเดินเรื่องของตัวภาพยนตร์ก็ดูราวกับจะโดนผลกระทบไม่ต่างกัน อันเนื่องมาจากผู้กำกับเองก็พยายามจะสร้างงานในสไตล์ที่ตัวเองถนัด ทว่าขนบของหนังพีเรียด และเส้นเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกลับไม่เอื้ออำนวยนัก เป็นเหตุให้ตัวภาพยนตร์อีกเกือบ 2 ชั่วโมงที่เหลือกลายเป็นครึ่งๆ กลางๆ บางจุดก็เร่งไป บางจุดก็เอื่อยไป บางส่วนก็ไม่รู้จะขยี้ทำไม หรือบางส่วนก็ผ่านไปเลยโดยไม่อธิบาย มันดูกระจัดกระจายไม่เป็นปึกแผ่น ขาดความน่าติดตาม แถมเนื้อเรื่องของตัวภาพยนตร์ก็พอจะเดาออกกันได้ง่ายอยู่แล้วมันเลยไปกันใหญ่ครับ เรียกได้ว่าในแง่การเล่าเรื่องให้เอนเตอร์เทนผู้ชมเนี่ย King Arthur: The Legend of the Sword ผ่านมีนแบบฉิวเฉียดจริงๆ 

      อ้าวเหมือนจะด่ามาหลายตัวอักษรแต่ไหงยังอุตส่าห์ผ่านมีนอีก? หลายๆ คนคงสงสัยกันในจุดนี้ นั่นก็เพราะตัวหนังยังมีส่วนดีๆ ที่ช่วยฉุดให้มันกระโดดข้ามพ้นหุบเหวแห่งความเหลวโดยดุษฎีอยู่ครับ ที่โดดเด่นเป็นอย่างมากเลยคือฉากแอคชั่นยามที่อาเธอร์ควงดาบคู่บุญเข้ากำราบศัตรูนี่แหละ ด้วยว่าดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์เวอร์ชั่นนี้มีพลังที่น่าจะเรียกได้ว่าโม้กว่าหนังทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา เพียงแค่กุมดาบ 2 มือให้มั่นอาเธอร์ก็พร้อมหวดกระเด็นทุกคน กระเด็นในที่นี้ก็ตามตัวอักษรเลยครับ ลอยระเนระนาดกันเป็นแถบ 

     เพราะความเป็นแฟนตาซีสุดลิ่มนี้เองทำให้ผู้กำกับสามารถออกแบบคิวแอ็คชั่นให้มีวิชวลแปลกใหม่น่าตื่นตาได้ครับ โดยเฉพาะการต่อสู้กับบอสใหญ่ตอนท้ายที่ผมคิดว่าถ้าใครเลนเกมมาเยอะๆ น่าจะชอบกัน ฉวัดเฉวียน ตื่นตา และตื่นเต้นมากๆ ถ้าให้จำกัดความอีกนิดก็คงบอกแค่ว่าได้อารมณ์ใกล้ๆ เกมซีรีส์ Dark Souls นั่นแหละ (อาจเพราะดีไซน์บอสมันคล้ายๆ หลุดมาจากเกมซีรีส์ Souls ด้วยแหละ)

King Arthur: The Legend of the Sword

     อีกส่วนหนึ่งที่ออกจะชอบเสียมากกว่าฉากแอคชั่นด้วยซํ้าคือการพยายามตีความอาเธอร์คนนี้ในรูปแบบใหม่ครับ เพราะปกติถ้าไม่เป็นอัศวิน ก็เป็นแม่ทัพ หรือบางเรื่องก็อยู่ในฐานะพร้อมขึ้นครองบัลลังก์อยู่แล้ว ทว่าใน King Arthur: The Legend of the Sword นั้นเราสามาารถเรียกอาเธอร์ว่า “กุ๊ย” ได้อย่างเต็มปากเลยครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเขาโตขึ้นมาแบบคนข้างถนน แวดล้อมไปด้วยสังคมโลกมืด ดังนั้นจึงมีความกักขฬะและเจ้าเล่ห์มากเสียยิ่งกว่าเกียรติของนักรบ แม้กระนั้นเขาก็ยังเป็นคนที่มีสำนึกดี, รักแม่เลี้ยงรวมถึงเพื่อนพ้องยิ่งกว่าใคร ทำให้อาเธอร์ของ ชาลี ฮันนัม คนนี้ดูมีเสน่ห์ลูกล่อลูกชนและน่าเอาใจช่วยในขณะเดียวกันครับ

     ถึงตรงนี้ออกจะน่าเสียดายไปสักหน่อยที่ King Arthur: The Legend of the Sword อาจจะไม่มีภาคต่อค่อนข้างแน่นอนแล้วเนื่องจากรายรับยํ่าแย่เหลือเกิน ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องส่วนแรกก็ปูเสร็จเรียบร้อยและพร้อมจะไปต่อ (แรกเริ่ม Warner วางไว้คร่าวๆ ถึง 7 ภาค) ลองนึกถึงโลกแฟนตาซีที่กว้างขึ้น สัตว์ประหลาดมายามากมาย และการผจญภัยของอาเธอร์ที่อาจต้องต่อสู้กับผู้ใช้อาร์ติแฟคสุด OP อื่นๆ ระดับเอ็กซ์คาลิเบอร์แล้ว ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้จริงๆ ครับ 

     ก็เอาเป็นว่า King Arthur: The Legend of the Sword คือภาพยนตร์แอคชั่นพีเรียดแฟนตาซีที่มีความกล้าจะพยายามแหวกขนบเดิมๆ ของหนังแนวๆ นี้ แม้ผลลัพท์จะครึ่งๆ กลางๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นงานที่มีความบันเทิงในระดับที่ย่อยง่าย และโดดเด่นด้านงานวิชวลของฉากแอคชั่นครับ มาลองมาโดนกันได้นะพีเพิ่ล! 

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้