เข้าสู่ปี 2017 กันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งช่วงต้นปีนี้เอง หลายๆ คนคงทราบดีว่าเป็นช่วงเวลาที่ค่ายเกมหลายค่ายนิยมใช้เป็นวันวางจำหน่ายเกมใหม่ๆ ออกมามากมาย และเชื่อกันว่าคงมีหลายคนที่เตรียมเสียเงินให้กับบรรดาเกมเหล่านี้แล้วแน่นอน
ทว่าในแวดวงการเกมก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องของดราม่าอยู่ดี หากใครที่ติดตามข่าวสารในวงการนี้อยู่ตลอดเวลา คงจะเคยผ่านตากับประเด็นร้อนเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องโจษจันกันในหมู่เกมเมอร์อยู่เป็นระยะ และดูท่าจะไม่จบไม่สิ้นกันเสียที นั่นก็คือดราม่าเรื่องเฟรมเรตค่ะ
เฟรมเรตคืออะไร?
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับคำว่า "เฟรมเรต" กันก่อนค่ะ คำนี้หากแปลแบบตรงตัวก็จะได้ความหมายว่า “อัตราความถี่ของเฟรมภาพ” นั่นเอง ซึ่งเฟรมภาพในที่นี้ก็หมายถึงภาพนิ่งๆ ภาพหนึ่งค่ะ และไอ้เจ้าเฟรมภาพนี่เองที่หากเรานำหลายๆ ภาพมาเรียงต่อกัน มันก็จะกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างที่เราเห็นกันในการ์ตูนแอนิเมชั่น ภาพยนตร์ และเกมในทุกวันนี้นั่นแหละ
ในเมื่อการเคลื่อนไหวต่างๆ นั้นเกิดมาจากภาพนิ่งหลายๆ ภาพต่อกัน ดังนั้นจึงเกิดคำว่า "Frame per Second" (เรียกกันแบบย่อว่า FPS หรือแปลว่าเฟรมต่อวินาที) ขึ้นมา โดยคำว่า per Second ในที่นี้จะถูกใช้เป็นตัววัดจำนวนเฟรมในภาพเคลื่อนไหวภาพหนึ่ง ภายในระยะเวลา 1 วินาที เช่นคำว่า 30 FPS ก็จะหมายความว่า ภายใน 1 วินาทีของภาพเคลื่อนไหวภาพนั้น มีจำนวนภาพนิ่งประกอบอยู่ 30 ภาพด้วยกัน ส่วน 60 FPS ก็หมายถึง ภายใน 1 วินาทีของภาพเคลื่อนไหวภาพนั้น มีจำนวนภาพนิ่งประกอบอยู่ถึง 60 ภาพเลยค่ะ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มจับความสัมพันธ์ของคำว่าเฟรมเรตกับภาพเคลื่อนไหวกันได้บ้างแล้ว ยิ่งจำนวนเฟรมภาพภายใน 1 วินาทีมีมากเท่าไหร่ ภาพเคลื่อนไหวดังกล่าวก็จะดูลื่นไหลไม่สะดุดตามากขึ้นเท่านั้น เพราะความละเอียดของการเคลื่อนไหวก็จะมากขึ้นตามจำนวนภาพไปด้วย แต่ในทางกลับกัน หากจำนวนเฟรมภาพภายใน 1 วินาทีมีน้อยเท่าไหร่ ภาพเคลื่อนไหวที่ว่าก็อาจจะดูข้ามไปข้ามมา หรือกระตุกถี่ๆ นั่นเอง
โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นหนังตามโรงภาพยนตร์ที่เราดูกันอยู่ทุกวันนี้ ค่า FPS ที่นิยมใช้กันมากที่สุดจะอยู่ที่ 24 FPS (หรือ 25 FPS สำหรับระบบ PAL) ส่วนเกมที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันนี้ก็มักจะถูกจำกัดไว้ที่ 30-60 FPS ถ้ามากกว่านั้น เราอาจจะพบเจอกับปัญหาภาพฉีกได้ เว้นแต่ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณจะเป็นจอที่แพงหูฉี่ และเจ๋งพอจะรองรับค่า FPS ที่มากกว่านี้ได้เท่านั้น
แต่ว่า… แบบนี้ไม่ได้หมายความว่า 60 FPS ย่อมต้องดีกว่า 30 FPS อยู่แล้วหรอกเหรอ?
แล้วเขาเถียงกันไปทำไม?
ทุกวันนี้มีเกมจำนวนไม่น้อยที่ดันล็อคเฟรมเรตอยู่ที่แค่ 30 FPS ทั้งๆ ที่ด้วยระยะเวลาการพัฒนาและประสิทธิภาพของเครื่องคอนโซลและ PC ในยุคนี้ ค่า 60 FPS นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมเลย งานนี้จึงมีเหล่าเกมเมอร์จำนวนมากออกมาตั้งป้อมโจมตีทีมพัฒนากันยกใหญ่ หลายเกมที่ดูน่าจะเล่นด้วยเฟรมเรต 60 FPS ได้อย่างสบายก็ดันมาล็อคเฟรมเรตกันซะอย่างนั้น บางเกมล็อคเฉพาะเวอร์ชั่นเครื่องคอนโซล บางเกมเล่นล็อคมันหมดทุกแพลตฟอร์มเฉยเลย ทว่ามีหรือที่ทีมพัฒนาจากบางค่ายจะยอมนั่งโดนด่าอยู่เฉยๆ จึงเริ่มมีเหล่านักพัฒนาบางส่วนทยอยออกมาแสดงความเห็นโต้ตอบถึงเรื่องค่า FPS ที่ว่าทันที ไม่เว้นแม้แต่บรรดาเกมเมอร์ที่พุ่งเป้าโจมตีกันเองเช่นกัน
ดราม่าจึงบังเกิดด้วยประการฉะนี้…
30 FPS หรือ 60 FPS อย่างไหนดีกว่ากัน?
คำตอบของคำถามที่ว่านี้ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนค่ะ แต่แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างต้องมีทั้งเหตุผลและข้อดีของตัวเองมานำเสนอ รวมไปถึงการจู่โจมฝ่ายตรงข้ามกันอยู่แล้ว เราไปดูคำกล่าวอ้างของแต่ละฝั่งกันเลยดีกว่า
เริ่มกันที่ 60 FPS ซึ่งเป็นค่าที่เกมเมอร์หลายคนชื่นชอบกันเป็นพิเศษก่อน ค่าเฟรมเรต 60 FPS ในปัจจุบันนี้นับว่าเป็นค่าที่นิยมที่สุดในหมู่ผู้เล่นเกมยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะหากเครื่องเล่นของคุณสามารถเอื้อมแตะถึงค่านี้ได้เมื่อไหร่ คุณก็จะเล่นเกมได้อย่างไหลลื่นไม่ติดขัด แถมภาพเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็น ตัวละคร หรือวัตถุต่างๆ ก็ยังดูลื่นไหลสมกับความเป็นจริงอีกด้วย ยิ่งถ้าหากจอภาพของคุณเป็นระดับ Full HD 1080p ขนาดหลายสิบนิ้วแล้วล่ะก็ ไม่ต้องบรรยายถึงสรรพคุณกันเลย… งานนี้มีฟินและมันส์เว่อร์แน่นอน
นอกจากประสบการณ์ความลื่นไหลที่ฟินเกินใครแล้ว ว่ากันว่าค่า 60 FPS นี้ยังเหมาะกับเกมแนวที่ต้องชิงความได้เปรียบในเรื่องของความเร็วและจังหวะเป็นที่สุดด้วย โดยเฉพาะเกมแนว FPS จำพวก Call of Duty หรือ Battlefield ที่ต้องอาศัยความไวยิ่งกว่าใคร ค่า 60 FPS นี้จะช่วยให้เราสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ภายในเกมได้มากกว่าค่า 30 FPS และทำให้เราสามารถหันปืนไปยิงคู่ต่อสู้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง
สำหรับใครที่กังวลว่า หากเล่นเกมที่ค่า 60 FPS แล้วจะทำให้เกิดอาการมึนหัว วิงเวียนศีรษะอย่างที่เคยมีเกมเมอร์บางคนออกมาบ่นกันนั้น ตรงนี้ผู้เขียนได้ไปสอบถามจักษุแพทย์ชื่อดังมาแล้วค่ะ ซึ่งก็คือ รศ.นพ. ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านให้คำตอบมาว่า ไม่ว่าจะค่า 30 FPS หรือ 60 FPS ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น แสงจากจอมอนิเตอร์หรือการใช้งานมากกว่า ดังนั้น ใครกลัวว่าถ้าเล่นเกมที่ค่า 60 FPS แล้วจะปวดหัวหรือสายตาเสียล่ะก็ขอให้สบายใจได้เลย
แต่ทว่าในข้อดีก็ยังมีข้อเสียอยู่ เพราะการจะได้ค่า 60 FPS มานั้น ย่อมหมายถึงเครื่องเล่นเกมของคุณจะต้องแกร่งพอที่จะรันเกมในระดับนั้นได้ด้วยนะคะ โดยเฉพาะเกมใหม่ๆ ที่มีระดับความละเอียดของภาพสูงยิบชนิดเห็นผมตัวละครเป็นเส้นๆ การจะรันเกมให้คงที่ที่ค่า 60 FPS ถือว่าเป็นงานหนักเลยทีเดียวล่ะ สำหรับสาย PC บางคนอาจถึงขั้นต้องเสียเงินอัพการ์ดจอหรือ CPU กันจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็ว่าได้
มาถึงฝั่ง 30 FPS กันบ้าง แม้ว่าค่านี้อาจจะดูไม่ลื่นไหลเท่ากับค่า 60 FPS ก็ตาม แต่ค่านี้ก็ถือเป็นค่ามาตรฐานสำหรับเกมทั่วไปค่ะ เราไม่จำเป็นต้องใช้คอมพ์รุ่นใหม่หรือการ์ดจอขั้นเทพในการเล่นเกมที่ 30 FPS แต่อย่างใด ขอแค่สเป็คขั้นต่ำผ่าน หรือมีเครื่องเกมราคาประหยัดเท่านั้น คุณก็สามารถเล่นเกมได้แบบไม่มีติดขัดแล้ว
แถมค่า 60 FPS ที่ว่ายังถูกเหล่านักพัฒนาเกมบางท่านวิจารณ์หนักจนเละไม่มีชิ้นดีด้วย โดยพวกเขาอ้างว่าค่าเฟรมเรต 60 FPS นั้นมันช่างดู “แปลกประหลาด” สิ้นดี โดยเฉพาะค่าย Ubisoft ที่ชอบอ้างเหตุผลในข้อนี้ที่เคยถึงกับส่งคุณ Alexandre Amancio หัวเรือใหญ่ของเกม Assassin’s Creed Unity มากล่าวเสริมอีกว่า “เป้าหมายของเราคือ 30 FPS ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังดูหนังเรื่องหนึ่งอยู่มากกว่า 60 FPS อีกนะ ซึ่งค่า 60 FPS อาจจะเหมาะกับเกมยิงกันก็จริง แต่ไม่เหมาะกับเกมแนวผจญภัยเท่าไหร่หรอกครับ เชื่อเถอะว่า 30 FPS น่ะดีกว่าเยอะ เพราะมันทำให้เราสามารถหันไปทำงานด้านอื่นให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ด้วย ดีกว่ามัวมานั่งห่วงตัวเลขพวกนี้ครับ”
ฟังเผินๆ อาจเหมือนเป็นการแถข้างๆ คูๆ แบบฉบับ Ubisoft ตามเคย แต่เมื่อเราลองมองในมุมของเหล่าผู้พัฒนาเกม จะเห็นได้ว่าเหตุผลเหล่านี้ก็ฟังขึ้นส่วนหนึ่ง เพราะการที่จะสร้างเกมที่มีความละเอียดของภาพสูง แถมยังต้องให้สามารถรันบนด้วยเฟรมเรต 60 FPS ได้นั้น ถือว่าเป็นงานช้างสำหรับเหล่าผู้พัฒนาเกม ลองคิดดูว่า หากภายใน 1 วินาที เราต้องใช้ภาพนิ่งทั้งหมด 60 ภาพ ระยะเวลาที่ต้องวาดภาพเหล่านั้นทั้งหมดจะยาวนานขนาดไหน…
เหตุผลในข้อนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากคุณ Aaryn Flynn หนึ่งในทีมพัฒนาเกม Dragon Age: Inquisition อีกด้วย โดยคุณ Flynn ให้เหตุผลว่า “สำหรับผมแล้ว การสร้างเกมที่สามารถรันบนค่า 60 FPS นี่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก เพราะเราต้องใช้เวลาในการเรนเดอร์ทุกสิ่งภายในเกม และบางทีเราอาจจำเป็นต้องถอดบางอย่างออกไป เช่นพวกเท็กซ์เจอร์หรือฉากหลังต่างๆ เพื่อให้สามารถออกเกมได้ทันวันวางจำหน่าย หากคุณอยากให้พวกเราสร้างเกมที่ดูสวยงามเช้งวับล่ะก็ บางที 30 FPS อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าก็ได้”
มาทรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่า 60 FPS ย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมนะคะว่ายิ่งอยากได้ของดีมากเท่าไหร่ เราก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่แพงพอกัน แบบนี้แล้วเราจะศรัทธาฝั่งไหน จะ 30 หรือ 60 กันแน่?… คุณต้องเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ
***บทความนี้มีการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนิตยสาร play ฉบับที่ 66 ประจำเดือนธันวาคม 2557 ครับ***