ช่วงนี้เกม VR ออกมาเยอะมากจริงๆ เลยนะทุกคน ไม่รู้ว่าได้ลองเล่นกันไปแล้วหรือยัง เห็นเกมออกมาเยอะแบบนี้ นั่นก็เพราะมีเหล่าบรรดา “แว่น VR” ที่ออกวางจำหน่ายมาให้เลือกกันมากมาย บางครั้งซื้อสมาร์ทโฟนแล้วแถมมาให้เลยก็มี! เออ เอาสิ มันก็เลยทำให้การปล่อยเกมหรือหนังในแบบ VR มีวางจำหน่ายมากขึ้นบางคนเองก็คงเล่นอยู่แล้ว แต่ถ้าบางคนยังแล้วอยากลองหามาเล่น ทีมงาน OS เองก็ไม่พลาดที่จะเลือกสรรแว่น VR ที่เหมาะกับการเล่นเกมแบบเต็มสูบ มาให้ดูกันว่าอันไหนเจ๋งจริง งั้นก็มาทำความรู้จักกันเลย
ตัวแรกที่เราจะเห็นได้บ่อยสุดเลยนั่นคือ VR BOX เจ้าแว่น VR หน้าสีขาว ซึ่งเราเห็นได้ตามท้องตลาดทั่วไป อันละ 190 – พันกว่า บาทโดยประมาณ โดยที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป หรือถึงกับแถมกันเลยก็มี ดังนั้นไม่ยากที่จะซื้อหาหรือว่าขอเพื่อนมาเลยถ้าเพื่อนไม่เล่นอะนะ
สำหรับตัวที่สองคือ Gear VR 2.0 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดจาก Samsung โดยเจ้าตัวนี้เป็นตัวที่ออกแบบมาสำหรับใช้ร่วมกันกับสมาร์ทโฟนของทาง Samsung เท่านั้น โดยที่ราคาเปิดตัวจะอยู่ที่ 3,500 บาท หากถ้าลองเทียบราคากันตั้งแต่แรก อาจจะห่างกับเจ้าตัวแรกอยู่เยอะเลย แต่เราจะมองที่ราคาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเมื่อราคาประมาณนี้แล้ว มันก็มีของดีอยู่ไม่น้อยเลยแน่นอน
ดังนั้นเพื่อให้ง่ายขึ้นกับการเลือก ผมจะหยิบยก 2 ตัวนี้ละกัน ให้รู้ว่าตัวธรรมดาไปไง แล้วตัวที่ราคาสูงกว่าเป็นไงกันไปเลยเนอะ โดยที่ผมจะขอเทียบกับ Gear VR 2.0 ซึ่งเป็นตัวราคาระดับบนๆ ของ VR สำหรับสมาร์ทโฟน และ VR BOX ตัวที่ราคาระดับล่าง หาได้ทั่วไปมาเป็นตัวเทียบที่ดูแล้วค่อนข้างสมเหตุผลที่สุด มาดูกันแบบจุดต่อจุดกันไปเลยเนอะ
ทำมาจากอะไร โดยใคร?
VR BOX เป็นการใช้หลักการเช่นเดียวกันกับ Google Card Board โดยใช้เลนส์ทั้ง 2 ตัว มาสร้างภาพขยายภาพเพื่อให้ได้เป็น VR ซึ่งตัวของมันไม่มีชิ้นส่วนของอิเล็คโทรนิคเพิ่มเติมแต่อย่างใด ก็แค่เพียงใส่สมาร์ทโฟนลงในตัวของ VR BOX เท่านั้น
ทางด้านของ Gear VR 2.0 เป็นการร่วมมือกันพัฒนาระหว่าง Samsung และ Oculus ผู้ผลิตแว่น VR สำหรับทางฝั่งเครื่อง PC หรือคอมพิวเตอร์ โดยทาง Oculus มีในส่วนของ Content หรือคลังเกมสำหรับให้เลือกดาวน์โหลดมากมาย
วิธีใช้เล่นและมุมมองที่ได้
มุมมองการเล่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการเล่นให้ได้อรรถรส เริ่มจากเจ้า VR BOX ก่อนเลย การปรับสายตาของ VR BOX จะใช้เป็นการเลื่อนเข้าหาระยะสายตาเพื่อให้พอดีกับสายตาของผู้เล่น และทำการปรับระยะห่างของดวงตาได้ แต่ว่าเจ้าตัวนี้ปรับค่อนข้างลำบากหน่อย เพราะมันไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง หากเจอตัวที่ผลิตไม่ดี มันก็อาจจะไหลเลื่อนเข้าเลื่อนออกได้ครับ
VR BOX ใช้วิธีใส่สมาร์ทโฟนจากทางด้านข้างของตัวเครื่อง แต่จำเป็นต้องเปิดเกมก่อนเล่น ปัญหาของเจ้าตัวนี้คือเมื่อใส่สมาร์ทโฟนเข้าไปที่ตัวล็อคแล้ว จะสังเกตว่าก้านที่จะล็อคตัวสมาร์ทโฟนจะเป็นสปริงหรือตัวหนีบเพื่อให้ใช้กับสมาร์ทโฟนได้ทุกขนาดมันไปบีบโดนเข้าที่ปุ่ม ทำให้บางครั้งไปโดนปุ่มเปิดปิดเครื่อง หรือปุ่มเพิ่มลดเสียง กับสมาร์ทโฟนบางตัว เลยทำให้การใช้งานตั้งแต่แน่ในครั้งแรกมีหัวร้อนกันบ้าง และด้วยความที่จะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นไหนเล่นก็ได้ มันจะสังเกตุเห็นความไม่ละเอียดหรือไม่คมชัดของตัวภาพภายในเกมซึ่งมีรอยหยักหรือเม็ดพิกเซลเล็กๆ ให้เห็นด้วยนั่นเอง
VR BOXที่แสดงผลของภาพออกมาได้ในระดับมาตรฐานของ VR ทั่วไป แต่สิ่งที่ค่อนข้างกวนใจอย่างมากคือขนาดของภาพ (Scale) ในวิสัยทัศน์ที่เราเห็นในตัว VR BOX จะถูกจำกัดเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่แทบจะใกล้เพียงกับสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งภาพที่ออกมาแทนที่จะได้ความสมจริง ก็อาจจะได้ความสมจริงในกรอบสี่เหลี่ยมเหมือนดูทีวีจอตู้ไปแทน มันจึงเป็นข้อจำกัดสำหรับ VR BOX ราคาถูกตัวนี้
ส่วนของทาง Gear VR 2.0 รองรับกับสมาร์ทโฟนของ Samsung ตั้งแต่รุ่น Galaxy S6, Galaxy S6 Edge, Galaxy S6 Edge+, Galaxy S7, Galaxy S7 Edge, Galaxy Note 7 เท่านี่น เพราะตรงหัวต่อ สามารถเปลี่ยนเป็นทั้ง Micro USB และ USB Type-C เพื่อรองรับรุ่นดังกล่าว สงสัยล่ะสิ ว่ามีไว้ทำอะไร อ่านต่อไป เดี๋ยวจะถึงบางอ้อเอง
เหตุผลที่ว่าทำไมจะต้องเป็นพวกสมาร์ทโฟนรุ่นสูงๆ ขึ้นไป นั่นเพราะการใช้แว่น VR นั้นอย่างที่รู้ต้องใช้ความละเอียดของภาพหรือจำนวนพิกเซลที่สูง เพื่อสร้างความละเอียดภาพที่คมชัด ดังนั้นจึงต้องใช้สมาร์ทโฟนรุ่นบนที่มีความละเอียดหน้าจอตั้งแต่ 1440×2560 พิกเซลขึ้นไป ซึ่งเป็นความละเอียดในระดับใกล้เคียงกันที่ใช้งานบน VR สำหรับเครื่อง PC เลยทีเดียว ดังนั้นภาพที่ได้จะออกมาดีกว่ามาก
สำหรับ Gear VR 2.0 สามารถปรับระยะสายตาได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องใช้การปรับระยะห่างของตาแต่อย่างใด เพราะในการทดสอบโดยใช้ทีมงานเป็นเหยื่ออย่าง เซียน OTTO และ แอดคูล รวมถึง MoonShine เป็นเหยื่อแล้ว สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา จุดสำคัญอีกอย่างคือทั้งเซียนและ Moonshine ทั้งสองคนนี้ใส่แว่น แต่ใช้ Gear VR 2.0 ได้โดยไม่ต้องถอดแว่นเลย และที่เหนือมากไปกว่าความคมชัดมันคือมุมมองที่กว้างมากกว่า VR BOX มุมภาพที่ได้จะอยู่ในระยะที่สายตามองเห็นครบแทบทั้งหมด โดยที่ไม่รู้สึกรำคานตาแต่อย่างใด เมื่อเรากวาดสายตามองทั้งซ้ายและขวาจะสามารถมองได้ครบทุกจุด สิ่งที่ว่าเป็นจุดที่ดีมากๆ
การควบคุม
ด้วยความที่ VR BOX เป็นเพียงกล่องที่ใส่สมาร์ทโฟนและเลนส์เพียงเท่านั้น มันจึงไม่สามารถที่จะทำการควบคุมอะไรได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังเพียงเล็กน้อย จนไปถึงการเล่นเกมนี่ลำบากเลย ถ้าไม่มีจอยเกมแบบบลูทูธ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ต่อการเล่นเกม ซึ่งถ้าใครไม่มีจอยเล่น บอกเลยว่านั่งดูหนัง VR เฉยๆ ได้อย่างเดียวเท่านั้นล่ะครับ
ตรงข้ามกับ VR BOX ในด้านของ Gear VR 2.0 มีปุ่มและทัชแพดเพื่อใช้ในการควบคุมเมนู และคำสั่งต่างๆ หรือใช้สำหรับเล่นเกมด้วยยังได้ ดังนั้น หายสงสัยกันได้แล้วว่าทำไมจะต้องมีหัวต่อแบบ USB เสียบเข้ากับตัวเครื่อง จุดที่เด่นมากๆ อีกตัวคือเซ็นเซอร์ที่บอกว่าหากมีการสวมใส่แว่น เจ้าแอพพลิเคชั่น Oculus จะทำงานและเปิดขึ้นใช้งานทันที หรือถ้าเราถอดออก มันปิดหน้าจอให้เอง ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ไปได้มากเลย
เกม เพลง หนัง เล่น ดู ฟัง พาเพลิน
VR BOX เอาไว้ใช้เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง (ใน VR BOX เนี่ยนะ) ได้อย่างครบทุกประการ แต่อย่างที่บอกไปช่วงกลางๆ คือความจำกัดที่ตัวเครื่องไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ เลย ดังนั้นจำเป็นต้องเตรียมหนัง หรือเกมไว้ให้พร้อมก่อนที่จะใส่สมาร์ทโฟนลง VR BOX จุดที่สองคือตัวเกมต้องไล่หาเอาตาม Google Play เอาเอง ซึ่งแต่ละเกมมีทั้งเกมที่มีคุณภาพ และเกมฟรี ซึ่งปัญหาหลักๆ ของเกมฟรีแน่นอนว่ามีโฆษณาแฝงมาให้กวนใจจนน่ารำคาญ ซึ่งนั่นทำให้ความอยากเล่น VR ในแต่ละครั้งจะถูกบั่นทอนไปทีละนิด แต่ถ้ามองในงบจำกัดก็คือว่าพอถูไถล่ะครับ
Oculus for Gear VR เป็นแอพสูตรสำเร็จสำหรับ Gear VR 2.0 โดยเฉพาะ ด้วยเพราะเมื่อเราสวมใส่แว่นไปแล้ว เจ้าแอพฯ Oculus จะทำงานในทันที โดยภายในคลังแอพฯนั้นประกอบด้วย คลังเกมซึ่งเป็นเกมคุณภาพทั้งจาก Oculus และจาก Google Play โดยในแต่ละเกมหลัก เป็นเกมเดียวกันกับ VR บนแพลตฟอร์ม PC อยู่หลายเกม เช่น Smash the Battle หรือ Gunjack ซึ่งเป็นเกมที่ผมชอบมากๆ เพราะกราฟิกและตัว Engine ที่ใช้คือ Unreal Engine 4 ให้ความเสมือนจริงมาก ทั้งนี้ยังมีคลังวิดีโอและภาพแบบ 360 องศาเอาไว้ให้เลือกดู หรือว่าจะดูหนังในแว่น VR เลยก็ได้ด้วย มีตัวเดียวจบ เคป่ะ? ทั้งนี้เกมเด็ดๆ มีอะไรบ้าง มาดูที่ลิงค์นี้เลย >> 10 เกมบนโลกแห่ง VR สุดมันส์บนสมาร์ทโฟนที่ไม่เล่นไม่ได้แล้ว
เห็นรึยังว่าการเล่นเจ้าแว่น VR BOX ที่เป็นของแถมหรือราคาร้อยกว่าบาท กับตัวที่ราคาหลักพันนั้นต่างกันแค่ไหน เริ่มตั้งแต่การใช้งาน ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับ VR BOX มีจุดเด่นคือสามารถรองรับสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่นที่มีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 4.7” – 6” ได้โดยไม่ต้องระบุแบรนด์ แต่ผลพวงที่ตามมาคือความยากลำบากในการใช้งาน, วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้งานที่ใช้แล้วไม่ค่อยสบายตาแถมต้องเสียบเข้าเสียบออกเพื่อเปลี่ยนเกมหรือหนัง และตัวเกมหรือวิดีโอต่างๆ ที่ต้องไปหามาเอง
แต่สำหรับในตัวของ Gear VR 2.0 ที่มีราคาสูง และต้องใช้กับสมาร์ทโฟนของ Samsung ตั้งแต่รุ่น Galaxy S6 ขึ้นไป แต่ด้วยเหตุผลที่ให้ภาพที่ได้มีความสวยงามและสมจริง ประกอบกับตัวแว่น VR เองมีความละเอียดสูง และให้มุมมองภาพที่กว้าง รวมไปถึงการควบคุมทั้งในการใช้งานต่างๆ ได้บนแว่น Gear VR โดยที่ไม่ต้องถอดออกแต่อย่างใด แถมยังเป็นตัวแว่นที่มีประสิทธิภาพดี เพราะร่วมมือกับทาง Oculus ทำให้มีคลังความบันเทิงให้ครบครันทันทีที่ใช้งาน โดยไม่ต้องเตรียมอะไรล่วงหน้า
ท้ายสุดนอกจากความสะดวกสบาย สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างคือ “ดวงตา” ครับ การใช้แว่น VR BOX ที่มาจากเลนส์ราคาถูก กับการใช้เลนส์เกรดสูงจาก Gear VR 2.0 ส่งผลต่อดวงตาเวลาใช้งาน เพราะเมื่อใช้งานนานๆ แล้ว ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นบน VR BOX เกิดขึ้นได้ง่าย และอาจทำให้เสียสายตาเพราะเลนส์และการปรับทิศทางที่ไม่ดี ซึ่ง Gear VR ของ Samsung มีการปรับเพียงระยะเลนส์เท่านั้น เอาง่ายๆ คือเรื่องการรักษาดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ทั้งหมดนี้มันก็เหมือนกับการเปรียบเทียบระหว่างการใช้ของคุณภาพดี หรือของใช้งานแบบ “ใช้ได้” นั้นต่างกันครับ แต่จุดประสงค์เพื่อความบันเทิงเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครอยากเล่นอะไรแบบไหน ลองเลือกกัน แต่ที่สำคัญ อย่าเล่นเพลินนะครับ พักสายตากันบ้าง ด้วยความรักและหวังดี จากพี่ๆ ทีมงาน OS สวัสดีจ้า